เนื้อมนุษย์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตัดเนื้อนะ เนื้อขาของตัวเองให้ไปต้มน้ำเพื่อให้ภิกษุได้ฉันน้ำต้มเนื้อไง นางอุบาสิกาเข้าไปที่วัด ถามพระว่า ต้องการอะไรไหม? ต้องการอะไรไหม? พระป่วยอยู่พอดีก็เลยว่า ต้องการเนื้อ น้ำต้มเนื้อไง
กลับมาบ้านให้พวกทาสไปซื้อเนื้อ ตลาดไม่มี อย่างไรก็ไม่มี ตัวเองก็เลยวิตกว่ารับปากแล้วกลัวเสียคำพูด เอามีดเฉือนเนื้อไง เฉือนเนื้อที่หน้าขาของตัวแล้วต้มน้ำไปให้พระฉัน พระก็ไม่รู้ ไม่ได้สังเกต ฉันไปก่อน ทีนี้ฉันไปก่อนนั้น พอป่วยเข้า สามีว่า ทำไมออกมาไม่ได้?
เขาบอกว่า ป่วย
บอกว่า เป็นเพราะอะไร?
เพราะตัดขาเนื้อนี้ต้มน้ำถวายพระภิกษุ
กลับดีใจไง กลับอนุโมทนาว่า สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ สิ่งนี้มีหนอ ไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉันเพื่ออนุโมทนาบุญไง บุญกุศลอันนั้นนะ
พอพระพุทธเจ้ามาฉันที่บ้านนะ ถามว่า เป็นอะไร?
ป่วยอยู่
ให้พาออกมาหานะ เนื้อกลับมาเต็มอย่างเก่าเลย อภินิหารของพระพุทธเจ้า เนื้อกลับมาเต็มอย่างเก่าเลย พระพุทธเจ้าอนุโมทนานะ พูดให้อาจหาญให้รื่นเริงไป แล้วฉันเสร็จแล้วกลับ เลยเป็นบัญญัติไง บัญญัติกับพวกภิกษุ พระภิกษุมาว่า แล้วติเตียนว่า
ทำไมไม่สังเกตดูก่อน เนื้อที่เอามาต้มนั้นเป็นเนื้อของมนุษย์
ก็เลยบัญญัติว่า ต่อไปนี้ภิกษุห้ามฉันเนื้อมนุษย์ไง เนื้อมนุษย์ เนื้อเสือ เนื้ออะไร ๑๐ อย่าง เนื้อมนุษย์ด้วย แล้วเหตุผลที่หนักๆ ก็ถึงว่าถ้าพระพุทธเจ้าไม่บัญญัติไว้ ต่อไปจะมีคนฆ่าตัวตายเพื่อถวายเนื้อตัวเองให้กับพระสงฆ์ก็ได้ ในพระไตรปิฎกเขียนไว้อย่างนั้นเลยนะ ว่าต่อไปถ้าพระพุทธเจ้าไม่บัญญัติไว้ จะมีคนที่ศรัทธามากสามารถสละชีวิตนี้เพื่อเอาเนื้อเอาตัวนี่ถวายให้เป็นอาหารกับพระภิกษุสงฆ์ได้ พระพุทธเจ้าเลยบัญญัติไว้ เหตุผลอันหนึ่งอันนี้ไง เหตุผลอันว่าเพื่อไม่ให้คนที่มีศรัทธามาก แล้วทำลายชีวิตเพื่อเอาร่างกายนี้ถวายแก่พระสงฆ์เลย เห็นไหม
อันนี้มันถึงว่ามามองถึงปัจจุบันนี้ที่ว่าเขาฆ่าตัวตายกันเรื่องศาสนา พระพุทธเจ้าเห็นมาตั้งแต่ตอนนั้นนะ ถึงย้อนกลับไว้ พระพุทธเจ้าเห็นไว้ก่อนใช่ไหม ว่าถ้าคนศรัทธามากศรัทธาจนไม่มีปัญญาคุม มันทำไปได้หมด แม้แต่ชีวิตนี้ก็สละเพื่อจะเอาเนื้อนี้ถวายให้เป็นบุญกุศลไง
นี่บัญญัติไว้เลยนะ ห้ามฉันเนื้อมนุษย์ แล้วเหตุผลว่าถ้าไม่ห้ามไว้ ต่อไปจะมีคนที่ศรัทธาสามารถฆ่าตัวตายเพื่อเอาเนื้อถวายเป็นอาหารได้
นี่เข้าใจเรื่องของหัวใจไง เรื่องของความศรัทธา เรื่องของความเชื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่รู้แจ้งโลกนอกโลกใน รู้ไปหมดเลย รู้ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรๆ รู้ว่าโลกนอก โลกในคือเรื่องของทุกข์ เรื่องของใจ เรื่องของกิเลส สิ้นสุดแห่งทุกข์ โลกในโลกนอกเข้าใจไปทั้งหมดเลย
เห็นไหม นี่ถึงว่าองค์ศาสดานี่เป็นที่ว่ารู้แจ้งโลกๆ รู้ทั้งโลกนอกโลกใน รู้ไปหมด ถึงว่าเป็นศาสดาของเราไง แล้วกำหนดมาถึงปัจจุบันนี้ มีอย่างนั้นจริงๆ ฆ่าตัวตายกันนี่เป็นร้อยเป็นพันเลย ฆ่าตัวตาย ลัทธิฆ่าตัวตายเพื่อจะไปสวรรค์เท่านั้นนะ อันนี้เพื่อบุญกุศล เพื่อว่าตัวเองจะพ้นจากกิเลส นี่มันยังลึกซึ้งต่างกัน
แล้วยังพอต่อมานะ มีสีหเสนาบดีจะนิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉัน สีหเสนาบดีเป็นลูกศิษย์ของนิครนถนาฏบุตรก่อน แล้วเป็นที่ว่าเป็นที่ทำบุญของเขา เป็นหลักชัยของเขาไง ของนิครนถ์ แล้วจะมาหาพระพุทธเจ้าตั้ง ๓ ครั้ง ๔ ครั้ง มาไม่ได้เพราะนิครนถ์ห้ามไว้ สุดท้ายก็หักใจมา พอหักใจมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์โปรดก่อน จนสีหเสนาบดีเป็นพระโสดาบัน
พอเป็นพระโสดาบันก็นิมนต์พระพุทธเจ้าไปฉัน รุ่งขึ้นไปฉันที่บ้าน แล้วพระพุทธเจ้าห้ามตั้งหลายครั้งว่า อย่าเลย เพราะอะไร? เพราะว่าเป็นหลักชัย เป็นที่เนื้อนาบุญของพวกนิครนถ์เขา เขาจะว่าเอา
สีหเสนาบดีบอกว่า ธรรมดาเขาอยู่ลัทธิต่างๆ นะ เขาจะชูโยมเป็นใหญ่ไง ชูสีหเสนาบดีว่ามีชื่อเสียงขนาดนี้ยังเป็นลูกศิษย์ของเขา แต่เวลานิมนต์พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอก อย่าเลย เพราะสีหเสนาบดีนี่เป็นคนที่มีชื่อเสียง จะทำต้องให้คิดดูก่อน อย่างนั้นยิ่งศรัทธาเข้าไปใหญ่ แล้วนิมนต์ไป พอนิมนต์ไปก็ให้คนไปซื้ออาหารไง ไปซื้อเนื้อมาทำอาหารถวายพระพุทธเจ้า
พวกนิครนถ์เพ่งโทษเอาว่า สีหเสนาบดีนี่ได้ล้มโคล้มควาย ได้ฆ่าสัตว์เพื่อถวายพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้ารู้อยู่ว่าเขาฆ่าโคฆ่าควายเพื่อถวายตัวเองนะ ถึงว่ามาปัจจุบันนี้ถึงว่าบาปอยู่ที่คนทำ กรรมอยู่ที่คนกิน เห็นไหม แต่หลักความจริงแล้วคนที่ทำนั้นพระโสดาบัน พระโสดาบันนะ พระโสดาบันนี่จะไม่สีลัพพตปรามาส จะไม่ฆ่าสัตว์ให้ตกล่วงชีวิตเด็ดขาด
พระโสดาบันเป็นคนทำ หลักที่เกิดขึ้นเพราะพระโสดาบัน พระอริยบุคคลนี้เป็นคนหาเนื้อมาถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์แล้วรู้แจ้งโลกนอกโลกใน จะทำความผิดเป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย
แต่พวกลัทธิพวกนิครนถ์เขาไปโพนทะนากันว่า เขาล้มวัวล้มควายเพื่อถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ารู้อยู่ก็ฉันอยู่ ไปบอกพวกสีหเสนาบดี เป็นพระโสดาบัน
สีหเสนาบดีบอกว่า อย่าไปสนใจเลย แม้แต่ดั้งเดิมนี้พระพุทธเจ้าไม่ทำความผิด ไม่ได้ทำอะไรเป็นความผิดเลย พระพุทธเจ้านี่เป็นพระอรหันต์ แล้วตรัสสอนในทางที่ถูกไปพ้นกิเลส พวกนั้นยังกล่าวตู่มาตลอดเวลาๆ เห็นไหม แล้วปัจจุบันนี้ทำอยู่ คนทำคือสีหเสนาบดีเป็นคนทำ สีห เสนาบดีเป็นคนสั่งให้ไปซื้อเนื้อมา พระพุทธเจ้าไม่รู้เรื่องเลย
เรื่องจริงๆ คือมันเป็นความจริงว่าเนื้อนี่เนื้อบริสุทธิ์ ๓ ส่วน พระพุทธเจ้าฉันเนื้อนั้นแล้วสลดสังเวช ถึงได้ตรัสเป็นว่าเนื้อ ๓ ส่วนไง ภิกษุไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง ไม่รู้ นี่ฉันได้ ไม่ได้ยินไง เพราะเขาไม่ได้บอกว่าเนื้อนั้นเพื่อตัวเอง ไม่เห็น... เนื้อนี่บริสุทธิ์โดย ๓ ส่วน อันนี้เป็นเนื้อสัตว์เห็นไหม
ถึงว่าภิกษุให้ฉันเนื้อที่เป็นบริสุทธิ์นั้น ผู้ที่ทำนี้เป็นพระอริยบุคคลทั้ง ๒ ฝ่าย สีหเสนาบดีนี้เป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันนี้ไม่ก้าวล่วงละเมิดของศีลด้วยการปาณาติปาตานี้เด็ดขาด ไม่ทำในความเป็นบาปเด็ดขาด สีหเสนาบดีนี้เป็นพระโสดาบันนะ แล้วพระพุทธเจ้าเป็นประธานสงฆ์ที่ไปฉันนั้นเป็นพระอรหันต์ นี่ถึงบอกว่าเนื้อ ๓ ส่วนนี้มันถึงเป็นเนื้อที่บริสุทธิ์ไง
แล้วในปัจจุบันนี้มันก็มาลงกับที่ว่าโลกนี้คิดไง โลกนี้คิดว่าบาปอยู่ที่คนทำ กรรมอยู่ที่คนกิน ไปคิดตรงนั้นไง คือว่ากรรมมันระคนกัน การที่เขาฆ่าสัตว์ เขาทำของเขาเพื่ออาชีพของเขานั้น เขาทำของเขาอยู่แล้ว มีเราไม่มีเราเขาก็ฆ่าสัตว์อยู่แล้ว มันเป็นกรรมเป็นบาปของเขาทั้งหมด เราอาศัยประโยชน์เอาจากในนะ กรรมมันคนละส่วนกัน ไม่คลุกเคล้ากันไง
ถ้าเพราะกรรมเราคลุกเคล้ากัน เราถึงแบ่งแยกกิเลสเราไม่ออก เหตุนั้นมีเพราะมี เพราะเหตุนั้นๆ มันสาวไปไง มันไม่เป็นปัจจุบันธรรม มันถึงชำระกิเลสกันไม่ได้เพราะว่ากรรมมันคลุกเคล้ากันไปหมดเลย สิ่งนั้นเกี่ยวพันกันไปหมด ปฏิจจสมุปบาท สิ่งนั้นมีเพราะมีสิ่งนั้น เห็นไหม อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ ปัจจยาการหมุนตามกันไปหมดเลย แล้วเราก็หมุนตามไป
อันนี้เป็นอดีตอนาคต มันแก้กิเลสไม่ได้ มันตามไม่ทัน พอมันตามไม่ทันมันก็หมุนไป กรรมมันคลุกเคล้าๆ อย่างนี้ เราไม่สามารถแยกจำแนกกรรมออกมาเป็นอันๆ ที่ว่าเป็นปัจจุบันได้ ถ้าเป็นปัจจุบันได้ มันแก้ไขได้ในปัจจุบันๆๆ นั้น
นี่ปัจจุบันที่ว่าแก้ไขอันนี้ เพราะเราไม่มีหลักของเรา เราเชื่อมงคลตื่นข่าว หนึ่ง แล้วปัจจยาการนี่มันเป็น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา โดยธรรมชาติอยู่แล้วที่ใจต้องหมุนเป็นอย่างนั้น มันก็เลยเข้ากันได้ไง โลกเข้ากับโลก ความเห็นของโลก โลกเข้ากับโลกไปเรื่อย ความคิดของโลกมันเป็นอย่างนั้นไป ความคิดของเรามันก็เป็นโลกอยู่ นี่ไงมันเป็นโลกอยู่ ถึงเวลาทำสมาธิต้องกลับมาทำสมาธิก่อน ให้จิตนี่สงบขึ้นมามันถึงจะย้อนกลับมาวิปัสสนาได้ มันถึงชำระกิเลสได้ มันถึงเป็นธรรมไง
ธรรมกับโลกอยู่ด้วยกันแล้วไม่เหมือนกัน แต่นี้ผู้ที่ทำอยู่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียเอง เพราะสีหเสนาบดีนิมนต์พระพุทธเจ้าไปฉันเอง มันเป็นสิ่งที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นผู้ฉลาด เป็นผู้วางแนวทางไว้ เราก็ยังสงสัย เห็นไหม พวกเราเองปัจจุบันนี้ก็ยังลังเลสงสัยอยู่ เพราะมีนิวรณธรรมอยู่ในหัวใจ กิเลสมันพาคิด
นี่ถึงว่าศรัทธาของคน ถ้าศรัทธาจริงๆ แล้วสละทุ่มทั้งชีวิตก็ได้ อะไรก็ได้ ศรัทธานะ แต่ถ้าไม่ศรัทธา แบบนิครนถ์ เห็นไหม ก็โจมตี ต้องถากถาง ต้องบอกว่าโกหกกล่าวตู่ขึ้นมาเลยว่าสิ่งนั้นเขาล้มควายฆ่าควายเพื่อถวายพระพุทธเจ้า ทั้งๆ สีหเสนาบดีนี้เป็นคนทำ เป็นพระโสดาบัน เป็นคนสั่งให้เขาไปซื้อเอาในตลาด
อันนี้เป็นพระโสดาบัน สีหเสนาบดีนี่ดวงตาเห็นธรรมแล้ว พระพุทธเจ้าเทศน์สอนจนดวงตาเห็นธรรม ถึงได้นิมนต์มาฉันไง อันนี้เป็นพระอริยบุคคล เป็นองค์ศาสดา เป็นแบบอย่าง แล้วมันไม่มีความผิดเลย เป็นความบริสุทธิ์ถูกต้องทั้งหมด เพราะว่าอันนั้นเป็นบริสุทธิ์
แต่เราไปคิดเอาเอง พวกเรานี่โลกไปคิดไง เพราะเหตุนั้น เพราะเหตุนั้น เหตุนั้นถึงมี เพราะเขาฆ่า ถ้าเราไม่ฆ่าเขาจะขายให้ใคร? เพราะเอาเรานะ เอาเราเป็นตัวตั้ง เอาเราว่าเราไปซื้อเขา พอเราไปซื้อเขาก็เหมือนกับว่าเหมือนกับเรามีส่วนฆ่าสัตว์นั้น กรรมมันพัวพันไป มันไม่ตัดขาดว่าเราไม่เกี่ยวๆ
โลกปัจจุบันนี้เป็นอย่างนั้น มีเนื้อสัตว์ เห็นไหม เนื้อมนุษย์พระพุทธเจ้าก็ห้ามไว้ ห้ามไว้เลย เนื้อสัตว์ก็เป็นเนื้อสัตว์ เพราะโลกเขามีอยู่ ตลาดเขามีอยู่ ถ้าอย่างนั้นแล้วความเป็นอยู่ง่ายไง ความเป็นอยู่ คนที่ฉลาดนี่อยู่ในโลกนี้ด้วยความสะดวกสบาย คนที่โง่เขลาถือศีล เห็นไหม ก็ว่าตัวเองไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่กินสัตว์เป็น ไปตลาดเขาเห็นเขาทุบเอาไว้เลยนะ
นั่นน่ะทั้งๆ ที่ว่าถือศีลนะ โดยที่ตัวเองไปแสดงตัวไง ไปตลาดว่าฉันนี้เป็นคนถือศีล ฉันเป็นคนไม่กินสัตว์เป็น พอเห็นคนนี้มา เขารู้อยู่แล้วจะมาซื้อ เขาทุบหัวไว้เลย เขาทุบหัวไว้เลยเพราะว่าอะไร? เพราะทุบหัวได้ราคาอีก
อันนี้ถือศีลด้วยการลูบคลำ ไม่ได้ถือศีลด้วยความเป็นจริง เราไปโดยธรรมชาติของเรา เราเห็นเราก็ซื้อเอาของเรา ไม่เห็นเราก็ผ่านไป ไม่ใช่ทำเป็นว่าเราจะเป็นอย่างนั้นๆ ให้เขาดักหน้าเอา นี่ถึงว่าอยู่ในโลกเขาด้วยลูบคลำ เห็นไหม สีลัพพตปรามาส ความลูบคลำศีล ศีลนั้นไม่เป็นปกติของเรา เราถือแล้วเราเกร็ง มันยังไม่เป็นธรรมจริง
ถ้าเป็นธรรมจริงขึ้นมาแล้วศีลเป็นศีลอยู่ภายใน อธิศีล เห็นไหม ศีลภายนอกเป็นศีลภายนอก ศีลภายในเป็นศีลภายใน ศีลในหัวใจของตัวมันเป็นศีลภายในอยู่แล้ว มันจะเป็นไปโดยธรรมชาติของมัน แล้วเหตุการณ์ข้างนอกนี้เป็นเหตุการณ์ข้างนอก ความผิดพลาดพลั้งเผลอนี้เป็นเพราะขาดสติ ความขาดสตินั่นเป็นความผิดพลาดพลั้งเผลอเพราะมันเป็นอาบัติอยู่ ถึงมีการปลงอาบัติ มีการเริ่มต้นใหม่ไง
ถ้าอย่างนั้นแล้วมันเหมือนกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พวกโลกนี่คิดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้นี้ให้พวกที่ปฏิบัติเดินได้คล่องตัว แล้วไปได้ เพราะธรรมและวินัยนี้เป็นทางอันเอก เป็นเครื่องดำเนินเพื่อจะชำระกิเลส เห็นไหม ไม่ใช่ทางอันเอกนี้ จะแบกทางอันเอกนี้เป็นของเราไป ทางอันเอกเป็นเครื่องดำเนินไปเฉยๆ แล้วจะไปชำระกิเลสได้
นั้นศีลที่เราทำอยู่นี้ ถึงว่าถ้ามันยังผิดพลาด มันด่างพร้อยไปๆ ศีลด่าง ศีลพร้อย ศีลขาด เราก็ปลงอาบัติเอา มันทำได้ แต่ถ้าเราไปเชื่อโดยความที่ว่าเราทำอะไรไม่ได้เลย ความเป็นไปไม่ได้นี่เป็นโลก โลกถึงว่ามันขัดข้องไปหมด เราจะปฏิบัติ เอาโลกมาปฏิบัติ พอโลกปฏิบัติ โลกจะเดินไป ก็ติดโลกไปอีก เลยไม่เป็นธรรมไง
ถึงต้องทำความสงบ ถึงต้องมีครูบาอาจารย์ชี้นำ เพราะกิเลสมันเป็นคนอยู่ในหัวใจเรา กิเลสมันควบคุมเรา กิเลสมันถึงทำให้เราคิดไปร้อยแปด ขวางไปนะ ขวางธรรมไปตลอด ขวางหมด พอขวางไปก็ไปไม่ได้ แม้แต่หลักการที่วางไว้ถูกต้องแล้ว แล้วบัญญัติไว้เพื่ออนาคตเพื่อพวกสมัยปัจจุบันนี้เลย แล้วปัจจุบันนี้เกิดมากเรื่องการที่ว่าฆ่าตัวตายกัน การอะไรกัน นั่นแค่ศรัทธาเฉยๆ
แล้วถ้าศรัทธาในศาสนานี้ พระพุทธเจ้าบังไว้เลยนะ กันเอาไว้เลยไม่ให้มี ถึงว่า โอ้โฮ... เห็นแล้วมันซึ้งใจ เหตุมาเกิดเอากึ่งพุทธกาล แต่ตอนนั้นห้ามเอาไว้ก่อนเลย สมัยพระพุทธเจ้าอยู่ห้ามไว้ก่อนแล้วว่าไม่ให้ทำ
นั้นมันถึงปัจจุบันนี้ถึงว่าเราเกิดมาในศาสนาที่ประเสริฐ เราเห็นสิ่งที่ดีแล้วเราต้องพยายามทำของเราไป เราเกิดในศาสนาที่ประเสริฐไง มัชฌิมาปฏิปทา แต่มัชฌิมาปฏิปทาของเรา เรามองไม่เห็นกันเอง เราจะเอียงไปเอียงข้างไป เอียงข้างซ้ายเอียงข้างขวา เอียงเข้าข้างกิเลสเรา ไม่ก็ทำไม่ได้ เห็นไหม เอียงซ้ายเอียงขวา ไม่มัชฌิมา ถ้ามัชฌิมาทำได้พอดี นั้นถึงว่าเป็นศีลโดยไม่สีลัพพตปรามาส ศีลโดยธรรมชาติของมัน เอวัง